ขึ้นต้นด้วยใบแดงนายยงยุทธ ติยะไพรัตน์ กับการยุบพรรค พลังประชาชน อย่าเพิ่งตกใจไปนะครับเพราะเมื่อ เวลา 16.00 น. วันที่ 8 ก.ค. 51 องค์คณะผู้พิพากษา ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง สนามหลวง ได้ออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำพิพากษาคดีแจกใบแดงนายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 1 รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และ น.ส.ละออง ติยะไพรัช น้องสาว ส.ส.ระบบแบ่งเขต เขต 3 จ.เชียงราย พรรคพลังประชาชน ฐานกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) พ.ศ.2550 ว่าด้วยการทุจริตการเลือกตั้ง โดยศาลใช้เวลาในการอ่านคำพิพากษานานร่วม 2 ชั่วโมง
ดังนั้นแล้วกรณีนายยงยุทธ ติยะไพรัตน์ จึงอาจเป็นฉนวนการยุบพรรคพลังประชาชนเพราะกฎหมายเขียนไว้ชัดว่าหากกรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็นการทุจริตการเลือกตั้ง ก็เข้าสู่กระบวนการยุบพรรค แต่ครั้งนี้กรรมการบริหารพรรคดำเนินการเสียเอง ยิ่งกว่ารู้เห็นเสียอีก ก็เข้าสู่กระบวนการยุบพรรคได้เลย แล้วเราลองคิดดูว่าถ้าหากพรรคพลังประชาชนโดนยุบพรรคไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น แน่นอนที่สุดสิ่งแรกที่จะเปลี่ยนไปก็คือ ผู้นำประเทศจะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน เพราะเสียงข้างมากจะตกเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ไปโดยปริยาย แล้วยังมีสิ่งที่เกิดขึ้นมาอีก คือการเลือกตั้ง
มองในทางกลับกันถ้ากระบวนการยุบพรรคดำเนินไปแล้วก่อนที่จะถูกยุบพรรค หากนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ต้องการถ่วงเวลาการยุบพรรคหรือรักษาพรรคไว้ แล้วเกิดการยุบสภาขึ้นมาแล้ว กระบวนการต่างๆก็น่าต้องดำเนินการช้าลงไปอีก แต่นั้นก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดในการยุบสภาเพราะรัฐจะต้องเสียเงินจำนวนมากในการเลือกตั้งใหม่และการตั้งคณะรัฐมนตรีด้วย แล้วยังส่งผลถึงภาพลักษณ์ของประเทศ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อประเทศไทยด้วย จะส่งผลทางอ้อมต่อเศรษฐกิจไทยที่กำลังอยู่ในภาวะทรุดโทรมอยู่ในปัจจุบันให้ยิ่งแย่เข้าไปอีก
ดังนั้นจากนี้ไปเราจะได้เห็นถึงความสามารถของพรรคพลังประชาชนที่จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาพรรคไว้แล้วเรายังจะได้เห็นถึงความสามารถในการบริหารประเทศของคณะรัฐมนตรีในเศรษฐกิจปัจจุบันกับการดำเนินงานภายใต้ความกดดันในเรื่องอนาคตของพรรคพลังประชาชน
การเมืองไทยจะดำเนินไปในทิศทางใด มาช่วยกันติดตามการเมืองที่ดูเหมือนจะอยู่ไกลตัวแต่แท้จริงนั้นอยู่ใกล้ตัวเราๆท่านๆเหล่านักศึกษา และประชาชนทั่วไปกันดีกว่าครับ
a.hikaru